Skip to main content

Work-Life Balance หรือ Work ไร้ Balance ?

Work-Life Balance หรือ Work ไร้ Balance ?

"Work-Life Balance" เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมจากคนทำงานรุ่นใหม่ในหลาย ๆ องค์กรเป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา และแนวคิดนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการทำงานของทาง สจล. อีกด้วย  ซึ่งการที่จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความสุข หรือ Happy University ได้นั้น เราก็ต้องให้ความสำคัญในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุลกันเพื่อความยั่งยืน การมี "Work-Life Balance" ที่ดีก็สามารถช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวได้

ซึ่งปัจจัยก็มีหลายอย่างที่มีผลต่อการเกิด "Work-Life Balance" ที่ดี เรามาดูกันดีกว่าว่าปัจจัยเหล่านี้คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ

ตั้งเป้าหมายสู่ความ Balance

การกำหนดเป้าหมายในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวสามารถช่วยให้เรามีการจัดสรรเวลาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเราควรวางแผนและกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสมทั้งสองด้าน เพื่อให้เรามีความสมดุลในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้

จัดสรรเวลาให้ Smart

เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้าง "Work-Life Balance" ที่ดี เราจึงควรแบ่งเวลาให้เป็น ซึ่งการวางแผนกิจกรรมและการทำงานให้เหมาะสมนั้นสามารถนำหลักการต่าง ๆ มาช่วยเพิ่ม Efficiency ได้ เช่น การนำหลักการ Time Blocking มาใช้เพื่อช่วยจัดสรรเวลาการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ว่าในหนึ่งวันเราจะทำอะไรบ้าง เพื่อให้เราสามารถจัดการกับเวลาสำหรับการทำงานและการพักผ่อนที่เพียงพอได้

ลำดับความสำคัญก่อน-หลังให้ดี

การกำหนดความสำคัญในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวนั้น เราควรให้ความสำคัญเท่า ๆ กัน แต่ในการทำงานก็ยังต้องมี “ความรับผิดชอบ” ต่อหน้าที่ ซึ่งการลำดับความสำคัญในการทำสิ่งต่าง ๆ ก็จะช่วยให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น และการมีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนจะช่วยลดความกังวลและความเครียดได้

หาเวลาพักผ่อนและดูแลสุขภาพบ้าง

สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ในการที่จะทำให้เกิด Work-Life Balance คือ การพักผ่อนและการดูแลสุขภาพ เราจึงควรมีเวลาให้กับตัวเองในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การทำงาน เช่น การออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ หรือกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด นอกจากนี้การมีเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัวและเพื่อน ก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการช่วยเสริมสร้างความสมดุลในชีวิตเหมือนกัน

การมี "Work-Life Balance" ที่ดีไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของการจัดการเวลาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการจัดการในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุลกัน ซึ่งทางผู้เขียนอยากให้ทุกคนได้ลองนำหลักการข้างต้นไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยสังเกตตัวเองว่าในหนึ่งวัน ชีวิตของเรามีความ Balance แล้วหรือยัง? ซึ่งในความจริงแล้วการทำงานไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ความสำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องทำเป็นทุกอย่าง หรือทำในปริมาณที่มาก” และก็ยังมีประโยคเด็ดที่ว่า “Put the right man on the right job at the right time” ยังคงเป็นประโยคที่ใช้ได้ดีอยู่เสมอเมื่อต้องวางแผนมอบหมายงานให้กับลูกน้องหรือคนในทีม สุดท้ายอยากให้ทุกคนหาสไตล์การทำงานที่ใช่ให้เจอ และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อเราสามารถสร้างสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวได้แล้ว เราก็จะมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน 

ซึ่งในวันที่ 16 มินายน ที่ผ่านมานี้ทาง สจล. ได้จัดกิจกรรม Happy Week ทั้ง 5 ด้าน ให้กับบุคลากร ไม่ว่าจะเป็น Happy Work , Happy Family , Happy Body , Happy Money , Happy Brain ซึ่งเราได้เชิญ คุณแม็ก วันเฉลิม คงคาหลวง นักจิตวิทยาปรึกษามาพูดคุยเสวนากันภายในงานด้วย และปัจจุบัน สจล. ยังเป็น 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ ที่เข้าร่วมโครงการ Happy University และเราจะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความสุขอย่างเต็มรูปแบบให้ได้

 

 

บทความโดย

จำนวนผู้เข้าชม

Share this page